วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

AKAI ITO ด้ายแดงแห่งรัก



AKAI ITO ด้ายแดงแห่งรัก
ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าละครเรื่องนี้จะเป็นแนวรักวัยรุ่นวัยเรียนเชื่อตามประสาเด็กคิกขุอาโนเนะ แต่ที่ไหนได้มันช่าง....ไม่เด็กเลยไม่นาเชื่อว่าจะเป็นนิยายที่เขียนทางมือถือที่ติดอันดับของญี่ปุ่นที่พิมพ์ขายติดต่อกันออกมา5-6เล่ม
Akai ito คือสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรานี่เอง akai itoเป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่าด้ายแดง บ่งบอกถึงพรหมลิขิต โชคชะตาและเนื้อคู่ ว่ากันว่าคนที่มีด้ายแดงผูกติดกันไม่ว่ายังไงก็ต้องได้เจอกัน akai ito ดำเนินเรื่องผ่านตัวละคร 2 คนที่มีวันเกิดวันเดียวกันคือวันที่ 29 กุมภาพันธุ์ที่ 4 ปี จะมีสักครั้ง บอกถึงการพบกันครั้งแรกคือเรื่องบังเอิญ การพบกันครั้งที่2คือพรหมลิขิต พระเอกนางเอกพบกันอย่างบังเอิญในวัยเด็กและมาเจอกันอีกครั้งในมัธยมต้นละครพยายามสื่อถึงชีวิตของเด็กญี่ปุ่นที่ต้องใช้ชีวิตในสังคมที่เร่งรีบและตัวใครตัวมัน ความเหงาที่ถูกทอดทิ้งจากคนในครอบครัว คนรัก เพื่อน จนเด็กหันหน้าไปพึ่งยาเสพติด เด็กที่ต้องการเรียนเก่งเป็นผู้นำสอบเข้ามหาลัยได้ก็หันมาพึ่งยาเสพติดและลุกลามไปถึงการฆ่าตัวตาย จริงๆแล้วปัญหาเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นจริงในสังคมของญี่ปุ่นเพราะด้วยเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าไปมากกลับมีช่องว่างของคนอีกมากมายปัญหาของนักเรียนในโรงเรียนที่เรามักจะได้ยินบ่อยๆเช่นการถูกกลั่นแกล้ง ชกต่อย นินทาจนกระทั่งถูกบีบให้ฆ่าตัวตาย ละครพยายามสอดแรกถึงการแก้ปัญหาเหล่านี้ผ่านตัวละครที่ชื่อ มาอิ เด็กที่เติบโตมาจากครอบครัวที่อบอุ่นแต่เธอกลับไม่ใช่ลูกแท้ๆของครอบครัวนี้และครอบครัวนี้ก็กำลังจะหย่ากัน มาอิมีเพื่อนที่ดีแต่สถานการณ์ต่างๆก็ต้อนให้เด็กที่อ่อนต่อโลกเหล่านี้เจอกับปัญหาที่น่ากลัวจนได้ อย่าเด่นชัด 2 เรื่องคือ ยาเสพติดและการฆ่าตัวตาย การฆ่าตัวตายมาอิถูกเพื่อนบีบให้เธอโดดตึกฆ่าตัวตาย ตามเพื่อนที่เคยโดดมาก่อนหน้านี้ แต่มาอิกลับปฎิเสธที่จะทำมันโดยให้เหตุผลว่าไม่ใช่ทางแก้ปัญหาและถ้าเธอตายปัญหาก็ยังอยู่(โอ๊ะ..โดนมากๆๆ) ในขณะที่ยาเสพติดเป็นเรื่องสำคัญในละครเรื่องนี้มากเพราะมันคือปมปัญหาในจิตใจของพระเอกและนางเอก การบำบัดเป็นเรื่องรองหากไม่สามารถแก้ปมในจิตใจของผู้เสพยาได้ เพราะถึงอย่างไรปัญหายาเสพติดก็ไม่สามารถหมดไปจากโลกนี้ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือการสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ครอบครัวเป็นส่วนที่สำคัญมาก พระเอกอัตคุไม่เคยยุ่งกับมันเลยทั้งที่เห็นยามาตั้งแต่เด็ก แม่อัตคุใช้มันเพื่อเพราะเป็นเหยื่อและลบปมในจิตใจ มิอะเพื่อนนางเอกใช้เพราะความหลงผิด มิยากิใช้เพื่อหาเพื่อนเข้ากลุ่ม อีกปัญหาหนึ่งที่ผู้เขียนสังเกตเห็นที่หนังไม่ได้บอกอย่างโจ่งแจ้งแต่คนดูน่าจะสัมผัสได้คือการใช้ความรุนแรง ทากะเพื่อนคนหนึ่งของนางเอกและพระเอก ทากะรักนางเอกมาก ทากะเป็นคนยิ้มเก่ง ยิ้มได้ทุกสถานการณ์ ยิ้มได้แม้กำลังชกต่อยอยู่ นั้นหมายความว่า ทากะเค้าชินกับความรุนแรงเหมือนมันเป็นเรื่องที่ทำเป็นธรรมดาเฉกเช่นการกินข้าว การเข้าห้องน้ำ นั้นเค้าจึงสาสารถทำร้ายคนได้โดยอัตโนมัติถ้าคนๆนั้นทำให้เค้าผิดหวัง เสียใจ โกรธ (สังเกตจากการที่เค้าตบนางเอกเพราะมาสาย) ส่วนปัญหารองลงมาก็เป็นปัญหาตั้งครรภ์ก่อนวัยอันสมควร การหย่าร้าง เป็นต้น
สำหรับนักแสดงบอกตรงๆว่าผู้เขียนไม่รู้จักใครสักคนเลย หน้าตาก็ไม่ได้หล่อเหล่าขั้นเทพ(ออกจะบ้านๆบานๆ ตาตี่ หน้าเหลี่ยมๆกันทั้งนั้น) แต่ดูแล้วอินไปกับความสดใส ความสนุกสนานของวัยเรียนจริงๆ ว่ากันว่าดาราเหล่านี้เค้าดังน่ะในญี่ปุ่น
ซี่รี่ย์เรื่องนี้บอกอะไรเรา
1.ปัญหา ปัญหา ปัญหาและก็ปัญหาของแต่ล่ะคน จิปาทะทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนรัก พ่อแม่ แฟน เพื่อน แอบรัก อกหัก สุดท้ายแก้ไม่ได้ก็มาลงที่ฆ่าตัวตายและยาเสพติดซึ่งในเรื่องแสดงให้เห็นถึงการฆ่าตัวตายทำกันได้ง่ายมากๆๆ(เพราะสมองมันคิดสั้นไง สั้นมากกกกกกกก)
2.ความเชื่อ...เชื่อถึงพรหมลิขิต ชะตากรรม ทำไมคนเราพบกันเพื่อจาก และพบกันใหม่ นั้นเพราะคนเรามีพรหมลิขิตอยู่นั้นเอง แต่ถ้าจะพูดให้เข้ากับเรื่องก็คือคนทุกคนต่างมีด้ายแดงของแต่ละคนผูกติดกันไว้มีพบเพื่อจาก มีจากเพื่อพบ คู่กันแล้วยังไงก็ต้องได้เจอกัน แม้จะผ่านผู้คนตั้งมากมายถึง 30000 คนก็ต้องได้เจอกัน ชอบจริงกับประโยคที่พระเอกพูดกับนางเอกว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมากมายในชีวิต แต่การพบกันของเรามันคือเรื่องสำคัญน่ะ”
ให้ตายสิ...พวกเค้าผูกพันด้วยด้ายแดงแห่งรัก(akai ito)ของแท้จริงๆๆ^0^

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

New Moon นิวมูน(แย่ขนาดนั้นหรอ!!!)


วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7122 ข่าวสดรายวัน


New Moon นิวมูน

คอลัมน์ เจาะจอหนังแผ่น

ภาพยนตร์เรื่อง "นิวมูน" ซึ่งเป็นภาคต่อของ "ทไวไลต์" เป็นหนังที่สร้างจากนวนิยายขายดีอีกเรื่อง

ซึ่งนักแสดงนำไม่ว่าจะเป็น โรเบิร์ต แพ็ตทินสัน, คริสเต็น สจ๊วต, เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์ แจ้งเกิดกันมาตั้งแต่ภาคแรก จนกลายเป็นหนุ่มสาวเลือดใหม่ที่มาแรงในแวดวงฮอลลีวู้ด

ส่วนตัวเนื้อหาหนัง ตอนที่ดู ทไวไลต์ ก็ว่าน่าเบื่อแล้ว พอมาดู นิวมูน ยิ่งน่าเบื่อหนักเข้าไปอีก แถมด้วยความอึดอัด กับความรักที่ไร้เหตุผลของตัวพระนาง

จริงๆ ก็มีคนเคยบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังรัก เพราะฉะนั้นถ้าไม่ชอบหนังแนวนี้ก็อย่าไปดู

ซึ่งพอได้รับคำเตือน ก่อนดูก็ทำใจเอาไว้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะออกมาเป็นรักเลี่ยนได้ขนาดนี้

พระนางยอมไปตายเพื่อความรักของตัวเอง โดยไม่ได้คิดห่วงคนอื่น

โดยเฉพาะบทของนางเอก ที่ดูหมกมุ่นกับความรักที่มีต่อพระเอกจนไม่สนใจไยดีกับพ่อของตัวเอง ซึ่งก็ห่วงใยดูแลเธอไม่น้อยเช่นกัน

บทพระเอก โรเบิร์ต แพ็ตทินสัน เรื่องนี้มีอยู่น้อยนิด ออกมาเยอะหน่อยในช่วงแรก ช่วงกลางหายไป มาโผล่อีกทีตอนใกล้จบ

ยกบทนำให้กับ เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์ ที่เล่นเป็นมนุษย์หมาป่าร่างบึ้ก ซึ่งพยายามจะถอดเสื้อโชว์หุ่นล่ำให้ได้ดูอยู่ตลอด

จนบางฉากบางตอนเหมือนจะยัดเยียดให้คนดูได้เห็นซิกซ์แพ็กมากจนเกินงาม

แล้วการดำเนินเรื่องก็เป็นไปอย่างเอื่อยๆ เรื่อยๆ ไม่มีส่วนไหนน่าตื่นเต้นติดตาม

ขอเตือนว่าถ้าไม่ชอบดูหนังรักเลี่ยนๆ หรือไม่ได้หลงไหลกับตัวแสดงมากมาย คงไม่เหมาะที่จะดูหนังเรื่องนี้

หน้า 20

จริงแล้วหนังไม่ได้แย่ขนาดนั้นเพียงแต่ถ้า...ถ้า..เราได้ไปอ่านหนังสือด้วยตั้งแต่ทไวไลต์จนถึงนิวมูน
คุณจะชอบกับสำนวนการแปลของอาทิตยา ที่แปลได้อรรถรสยิ่งแม้จะเป็นเรื่องฝันหวาน เพ้อฝันบวกจิตนาการสุดโลก
แต่...แต่ ...คุณจะปฎิเสธไหมว่าคุณอยากเป็นเบลล่า สาวที่มีหนุ่มรูปหล่อมาหลงรัก(แม้จะไม่ใช่คนก็ตาม)
และผู้ชายทั้งหลายจะปฎิเสธไหมว่าพวกคุณไม่อยากเป็นแวมไพร์สุดหล่อหรือมนุษย์หมาป่าซิกแพคงามแบบเทย์เลอร์
แม้เรื่องราวดูเหมือนจะหาสาระไม่ได้แต่ถ้าคุณอ่านในหนังสือคุณจะรู้ว่าสาระมีน่ะ โดยเฉพาะเรื่องการมีชีวิตอยู่และการไม่
มีชีวิตอยู่ การดำเนินชีวิต และการมองหนทางของชีวิต เบลล่าเองก็คงพยายามจะกำหนดชีวิตตัวเองให้ลงตัวแม้หนทางมันยาก
(ก็เจ้าหล่อนเล่นวนเวียนกับ...อะไรที่คนเราๆไม่มีโอกาศเจอ)ไม่ได้เลี่ยนขนาดนั้นหรอค่ะเมื่อคุณเคยมีรักและรักกัน
และเมื่อวันใดที่รักจากคุณไปคุณเจ็บเจียนตายวันเวลาเดือนปีผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ ยอมรับเถอะถ้าคุณมีช่วงเวลานี้พ่อแม่พี่น้องคุณก็ลืม
และเมื่อรักกลับมาและรู้ว่าคุณสามารถจับต้องเอามันกลับมาได้ก็ทำเถอะค่ะ ตามแรงของคุณดีกว่าไม่ได้ทำแต่ถ้าทำแล้วไม่ได้อะไร
ก้กลับมามองตัวเองแล้วgดินหน้าต่อไปค่ะ...
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObGJuUXdOVE13TURVMU13PT0=§ionid=TURNeE1nPT0=&day=TWpBeE1DMHdOUzB6TUE9PQ==

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

World with in.....


World with in.....
จริงๆดูซีรีย์เรื่องนี้จบนานแล้วแต่ด้วยเหตุผลที่ต้องไรท์ให้เพื่อนเลยทำให้ต้องดูอีกที บอกตามตรงซีรีย์เรื่องนี้ถ้าพูดถึงโปรดักชั่นแล้วอลังการมากๆๆตั้งแต่นักแสดงเลยแถมเนื้อเรื่องก็ไม่ได้แค่พูดถึงคนทำงานในวงการเท่านั้นมันพูดถึงคน....คนจริงๆเนี๊ยหล่ะ คนที่เดินสวนทางกันไปมากับเราทุกวัน ....ชอบคนเขียนบทจริงๆ
ได้ข่าวว่ากว่าจะเขียนบทละครเรื่องนี้ได้ต้องใช้เวลาถึง 2 ปีสุดยอด^0^ การจะบ่มเพาะอะไรสักอย่างมันต้องใช้เวลาจริงๆ
ละครพูดถึงการทำงานของคนวงการบันเทิง เริ่มตั้งแต่ผู้กำกับ คนเขียนบท ตากล้อง ผู้ช่วยผู้กำกับ 1 2 3 นักแสดง ตัวประกอบ ผู้บริหารช่อง จนไปถึงพนักงานทั้งหลายทั้งแหล่ ไม่เพียงเท่านั้นยังบอกเล่าถึงชีวิตของคนเหล่านั้นด้วยว่าต่อหน้ากล้อง ต่อหน้าผู้ชมเป็นเช่นไร ชีวิตนักแสดงไม่ได้เลิศหรูเหมือนเดินบนพรมแดงตลอดชีวิต แม้กระทั่งผู้กำกับที่สั่งได้ในเฉพาะในหนังที่ตัวเองกำกับแต่กับชีวิตไม่ได้ดั่งใจ หรือแม้แต่ผู้บริหารช่องเองก็มีหน้าที่การงานกับชีวิตส่วนตัวก็ช่างทำให้ลงตัวได้ยากเสียเหลือเกิน
สำหรับนักแสดง ฮยอนบินและซองเฮเคียว เล่นได้น่ารักกุ๊กกิ๊กเหลือเกิน(จนเกินออกมานอกจอ)บทจะด่ากันก็ด่ากันไฟแล๊บบทจะรักกันก็เล่นซะหวานจนมดเรียกพี่ ต้องขอชมผู้กำกับที่กำกับให้ทั้งคู่เล่นกันออกมาน่ารักไม่ดูเวอร์จนเกินไป...และอีกคู่ที่เราชอบคือผู้กำกับจอมปากหมากับนักแสดงหน้าใหม่ ดูยังไงก็ไม่เข้ากันแต่ผู้กำกับก็สามารถทำออกมาให้ดูน่ารักกุ๊กกิ๊กได้อย่างดีอีก2คนที่เพิ่มสีสันของเรื่องได้เป็นอย่างดีคือรุ่นน้องผู้ช่วยของพระเอกและนางเอก แสดงออกมาได้สมจริงกับคำว่าผู้ช่วยผู้กำกับที่ทำทุกอย่างทำให้เรารู้ว่ากว่าจะเป็นหนัง ละคร สักเรื่องเล่นเอาผู้ช่วยเกือบตายเพราะงานหนักเหมือนกันน่ะ
คนเขียนบทก็คืออีกคนที่เราสนใจ คนเขียนบทมักจะไม่ค่อยมีใครสนใจมากนักเมื่อเทียบกับนักแสดงหรือผู้กำกับ แต่ในวงการหนัง ละคร คนเขียนบทมีความสำคัญมาก ยิ่งเป็นผู้ที่เขียนบทแล้วทำให้ละคร หนัง เรื่องนั้นดังมีชื่อเสียง คนเขียนบทยิ่งมีอำนาจในการต่อรองค่าเหนื่อย ระยะเวลา คัดเลือกนักแสดงแม้กระทั่งสามารถเลือกผู้กำกับเองได้อีกด้วย แต่ถึงกระนั้นการเขียนบทก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยามไม่มีอารมณ์เขียนอักษรสักตัวก็ไม่มีขึ้นบนจอคอม....จนแล้วจนรอดก็ไม่มี...ยิ่งคอมเสีย..แล้วความจำในเครื่องกู้ไม่ได้ มีแต่ตายกับตาย งานเขียนบทไม่เสร็จก็ไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้ ( แม่ป่วยจนตายก็อดไปเฝ้าดูแล )
ส่วนนักแสดงวัยดึกทั้ง 3 คน ได้นักแสดงที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาเสมอ ต้องของบอกว่าพวกคุณเล่นได้เนียนมากๆเหมือนกับพวกคุณเอาชีวิตตัวเองมาเล่น...ชีวิตการงานที่ไม่ได้ไปสอดคล้องกับครอบครัวเลย นักแสดงต้องมีวินัยและมีจุดยืนที่ดีเพราะทุกสถานการณ์มันพร้อมจะผลักคุณลงเหวได้ทุกเมื่อ ยิ่งอายุมาก ฝีมือยิ่งต้องคม และการมองคนต้องให้ถึงแก่นถึงจะอยู่นาน
สำหรับผู้เขียนเองชอบบทพูดของนักแสดงหลายคนที่มีคำคมแฝงอยู่ให้ขบคิดในตอนต้นๆของแต่ล่ะตอน เช่น
“ ใครก็บอกว่าเกลียดละครน้ำเน่า เราเกลียดมันจริงหรอ.... หรือว่าเราอิจฉามันต่างหาก “
ทำไมชีวิตเราไม่น้ำเน่าบ้าง ที่มีพระเอกรวยมาชอบ หน้าไม่สวย อ้วน ยังได้แฟนหล่อ รวย หรือบังเอิญได้สมบัติเจ้าคุณปู่ ใช้กี่ชาติก็ไม่หมด ทำไมเล่นหุ้นแล้วไม่โชคดีกะเค้าบ้าง หรือทำไมเป็นโรคร้ายแล้วผ่าตัดรักษาหายเหมือนในหนัง ละคร บ้าง ทำไม...ทำไม.....บลาบลาๆๆๆๆๆ
ก็เพราะชีวิตจริงของเราไม่ได้น้ำเน่าเหมือนในละครไง ทั้งที่เราอยากจะให้มันเป็น เช่น “ ปมขัดแย้งในละครที่เราเห็นมันเป็นเรื่องท้าทายของผู้กำกับ การที่ผู้กำกับสามารถแก้ปัญหาได้ไปที่ละขั้นทำให้เรื่องดูสมบูรณ์และจบแบบhappy endingเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่ง “ แต่ในชีวิตจริงปัญหาจะไม่มีทางแก้ไขและปมขัดแย้งมันจะคงอยู่
สรุปแล้วละครเรื่องนี้ให้อะไรกับเรา เราคิดทุกครั้งที่ดูจบและจะพูดเสมอว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตดั่งละครหรืออย่าใช้ชีวิตแบบในละครดี เหมือนที่รุ่นพีจีฮูบอกว่า”จงใช้ชีวิตดั่งละคร แต่อย่าให้ละครมาเป็นชีวิตของเรา”
ปล.....คม....งง..ไหมล่ะ

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ว่าด้วยเรื่อง meteor garden


ว่าด้วยเรื่อง meteor garden ฮานาโยริดังโกะ และ boys over flowers ( หรือที่เราเรียกรวมๆ กันว่า F4 )
โดยส่วนตัวผู้เขียนได้ดูครบ 3 เวอร์ชั่นแล้ว (และในอนาคตคงจะมีตามมาอีกไม่น้อย) เราจะมาพูดโดยรวมของหนังที่นำเสนอมา ในฉบับไต้ไหว ต้องยอมรับว่ามาฉายที่บ้านเราดังมากๆๆ กระแสของคนที่เบื่อกับรายการน้ำเน่าและละครซ้ำๆซากๆ บนจอทำให้หันมาตอบรับกับกระแสเรื่องนี้ ทั้งๆที่เนื้อเรื่องมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง ซึ่งต่อมาทางญี่ปุ่นเองก็รีบสนองโอกาสที่ตัวเองพลาดรีบจัดทำซี่รีย์เรื่องนี้มาบ้าง และมาจนถึงปัจจุบัน กับฉบับเกาหลี
โดยรวมแล้วว่าด้วยเรื่องของเนื้อหนังก็จะเป็นแบบ นางเอกจนมาเจอพระเอกรวย(แบบโคตรรวย) ต้องฝ่าฝันอุปสรรค์จากแม่พระเอก และพูดโดยรวมถึงความสัมพันธ์ของเพื่อนในกลุ่มนั่นเอง ฉบับไต้ไหวน้ำหนักจะไปตกที่คู่พระเอกนางเอกมากกว่า...ในขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลี จะมีน้ำหนักบ้างเพื่อให้เท่าเทียมกัน ในฉบับไต้ไหวนั้นจะมีเนื้อหาและเรื่องสถานการณ์ที่มากจนทำให้หนังยืดและเยิ่นเย้อโดยเฉพาะภาค 2 ในขณะที่ญี่ปุ่นกระชับและรวดเร็วมาก ทั้งใน 2ภาค แต่ก็ไม่ขัดตาเกินไปนัก บทลงโทษของ F4 ก็ค่อนข้างรุนแรงไม่ต่างกันเท่าไหร่แต่ของญี่ปุ่นมีมิติกว่าที่จะวิ่งไล่กันเฉยๆแบบไต้ไหว (ฉากที่มีงูจริงๆอยู่ในล็อคเกอนางเอกก็น่าขนลุกดี )และความโหดร้ายของแม่พระเอกในเรื่องของอำนาจผู้นำเศรษฐกิจในแบบของญี่ปุ่นและเกาหลีนำเสนออกมาเป็นรูปธรรมดี มีเหตุมีผลและไม่ขัดแย้งกันเท่าไหร่ รวมถึงอาชีพทางบ้านของเหล่าF4 ก็ชัดเจน ในส่วนของความเวอร์...จริงๆต้องบอกว่า พูดถึงความร่ำรวย แล้วฉบับญี่ปุ่นนั้นกินขาด แบรนด์แนมทั้งนั้น ไม่ว่าจะเสื้อผ้าหน้าผม แฟชั่นจ๋ากันมาเลยที่เดียว ฉากในบ้านของเหล่า F4 ก็ไม่น้อยหน้า จะต้องนำเสนอความรวยของผู้นำกลุ่ม ซึ่งญี่ปุ่นและเกาหลีทำได้ดี (ติดตรงที่ อูบิน 1 ใน F ของเกาหลี เราไม่ได้เห็นฉากบ้านเค้าเลย นอกจากตู้ใส่รองเท้า ) ความคล้ายคลึงของหนังรู้สึกว่า ฉบับไต้ไหวและเกาหลีจะคล้ายกันมากๆๆรวมๆถึง 80 % เกาหลีจะนำทั้ง 2 ภาคของไต้ไหวมารวมกันและทำให้กระชับขึ้น จนแอบคิดไม่ได้ว่าที่บอกจะสร้างภาค 2 ต่อจะเอาเนื้อหาตรงไหนไปสร้างค่ะ แค่ภาคแรกก็เก็บจนหมดแล้ว ส่วนของญี่ปุ่นจะมีความเป็นการ์ตูนมากกว่า
ในเรื่องของนักแสดงนำ แน่นอน ใครก็ตามที่มารับบทเหล่าF4 ต้องแจ้งเกิดทุกรายไป ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงอยู่แล้วหรือจะโนเนมปานใด ก็สามารถแผ่กระจายรัศมีเปร่งปรั่งออกมาได้ (ราวกับพกสปอต์ไลท์ส่วนตัวมา)
ในบทของผู้นำกลุ่ม เต้าหมิงซื่อ โดเมียวจิ คูจุนพโย ต้องมีลักษณะของคนที่ชอบแต่ใช้กำลังและในขณะเดียวก็ก็ต้องดูโง่ๆ ไม่ฉลาด แต่จริงใจ และที่สำคัญ ต้องหล่อ!! สำหรับเจอรรี่แล้วเค้าผ่านงานถ่ายแบบมามาก...ทำให้เวลาที่ต้องเก๊กมาดนิ่งหรือยิ้มแบบละลายใจสาวเค้าจึงแสดงอารมณ์ออกมาได้ไม่ยาก แต่ฉากโมโหหงุดหงิดบางครั้งก็ยังดูแข็งๆไป ในขณะที่จุน มัสซึโมโต้ เล่นได้ดีเพราะชั่วโมงบินที่สูงกว่า แต่ทำไม...จุนเล่นเรื่องนี้ไม่หล่อเลยโดยส่วนตัวเราเองก็ตามละครที่จุนเล่นหลายเรื่อง มีเรื่องนี้ล่ะที่ไม่หล่อเลยแถมเข้าฉากกับชุนที่ไร รัศมี (ความสูง)ของชุนจะกลบหมด ส่วน อีมินโฮ บอกตรงๆว่าเรารู้จักเค้าน้อยมาก ด้วยที่ละครที่เค้าเล่นส่วนมากจะได้รับบทไม่เด่น ซึ่งตอนที่ทางเกาหลีจะสร้างซีรีย์เรื่องนี้ ได้เลือกพระเอกแนวหน้าไว้หลายคน ไม่ว่าจะเป็นโจอินซอง อีดงอุก ....แต่มาสรุปที่เค้า...แต่พอมาดูฝีมือในการแสดงแล้วคิดว่าทางผู้สร้างคงเลือกไม่ผิด อีมินโฮทำได้ดีเกินคาด ไม่ว่าจะโกรธ เศร้า ตลก หรือทำตัวโง่ ๆ ก็ทำได้ดี และที่สำคัญลองดูดีๆ เค้าคล้ายเจอรรี่มากๆๆ โดยเฉพาะเวลายิ้ม..อีกคนที่ไม่ผู้ถึงไม่ได้ ในบท หัวเจ่อเล่ย ฮานาซาว่า รุอิ อีจีฮู บทนี้วัดฝีมือกันจริงๆว่าจะขโมยซีนพระเอกได้ไหม ซึ่งในฉบับไต้ไหวและเกาหลีพอสูสีกัน แต่ฉบับญี่ปุ่นแล้ว ชุนกินขาด ด้วยความที่เค้าสูงและหุ่นดีใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูดีไปหมด บวกกับหน้าตาที่หน้าค้นหาว่าเวลาอยู่นิ่งๆเค้าจะคิดอะไร เหมือนมีอะไรในใจอยู่เสมอ และทำตัวเหมือนจะไม่สนใจอะไร ในขณะเดียวกันก็จะมีเสียงที่โอ่นโยนไว้เรียกเวลานางเอกเศร้าเสมอ...ชุนเกิดเพราะบทนี้จริงๆๆ....( ได้ข่าวว่าจุนเป็นคนเสนอผู้สร้างให้ชุนรับบทนี้ ) ส่วนอีจีฮูชายหนุ่มที่มีดนตรีไว้คลายความเหงา ที่เล่นโดยลีดเดอร์SS501 คิมฮยอนจุง ถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ เพราะรู้ๆ กันอยู่แล้วว่า ลักษณะของจุงนั้นเป็นคนเงียบๆ ซึมๆและชอบแอบงีบอยู่เสมอ มันตรงกับCHARACTER นานๆเราจะได้เห็นเค้าโมโหสักที..และในฉบับเกาหลีนี้อีจีฮู เล่นดนตรีได้หลายอย่างมาก ทั้งไวโอลีน เปียโน กีต้าร์ ( ถ้ามาสร้างเวอร์ชั่นบ้านเราคงมี ฉิ่ง ฉับ และ ระนาด ตามมาด้วย ) ส่วนอีก2F ที่เหลือ ซีเหม่ย โซจิโร่ อีจอง ชายหนุ่มเพลย์บอย คาสโนว่า ที่มีอดีตอันซ่อนเร้นฝังลับอยู่ในใจ (ลึกไปไหมเนี๊ย) ในไต้ไหว เคน ยังเล่นไม่เพลย์บอยพอซึ่งต่างชีวิตจริงของเค้า...เล่นแข็งและดูไม่หรู คลาสสิกเท่าไหร่ ส่วน มัทสูดะ โชตะก็ดูเครียดไป...ไม่กรุ่มกริ่ม ....แถมทะเลาะกับพระเอกทีไรก็ต่อยกันทุกที (แล้วก็ดีกัน) แต่คิมบอม ...เรายอมรับว่าตอนแรกเราปรามาสเค้าไว้มากว่าจะเล่นได้หรอเพราะเค้าเด็กมากๆๆ เป็นออลจัง และละครที่ผ่านมาของเค้าก็มักจะรับบทเป็นชายหนุ่มเซ่อๆๆโง่ๆๆ ....แต่ผิดคาดดดดค่ะ...บอมเล่นได้กรุ่มกริ่มมากๆๆ ดวงตาระยิบระยังแวววาวเหมือนสุนัขจิ้งจอกที่คอยจะงับเหยื่อ แถมในเวอร์ชั่นนี้เปิดใจกับเพื่อนนางเอกมากขึ้นทำให้รู้สึกว่าเค้าก็มีหัวใจที่ต้องการรักแท้เหมือนกัน..F สุดท้าย เหม่ยจั๊ว อากิระ อูบิน เป็นFที่เรามักจะจำไม่ค่อยได้...กับบทลูกชายเจ้าพ่อและธุรกิจไนต์คลับ ต้องเข้มแข็ง มาดมั่น หล่อ เท่ห์ สมาท์ ฉลาดหลักแหลม ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ตรงกับเวสแนสเลย 555 บอกตรงๆว่าถึงบทไม่เหมาะแต่เราก็ยังรักเวสแนส เด็กฮิปพอปที่เติบโตมาจากเมืองนอก ต้องพูด what up!1 yo!! Hi ! man ... เวลาเข้าฉากเจอกัน ...ฉบับไต้ไหวบทไม่เด่นเท่าไหร่ น้อยมากๆๆ ภาค 2 เลยใส่บทมีคู่หมั้นซะเลย..ส่วนเอเบะ ทรุโยชิ เป็นเจ้าพ่อที่หรูหรา ไฮโซ มากๆๆ อูบินรับบทโดย คิมจุน (นักร้องวง T-MAX) ในฉบับเกาหลีนี้เราว่าเค้าเหมือนมนุษย์ล่องหน อยู่ดีๆก็โผล่มา แล้วก็หายไป ไม่มีที่อยู่ที่แน่นนอน บางทีก็โผล่ที่หน้าห้องเรียนเดินไปกินกาแฟกับนางเอก แล้วก็ไปโผล่ที่โต๊ะอาหารกับพระเอกที่บ้าน จนสุดท้ายก็โผล่มาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางสะพายข้างใบย่อมในตอนจบ....แต่เวอร์ชั่นนี้บทบาทเค้าเยอะดี และดูดีกว่าด้วย ไม่ว่าจะเป็นความเนี๊ยบเรียบหรู ฉลาดหลักแหลม เป็นผู้ใหญ่ แต่ไม่เห็นจะต้องให้พูด WHAT UP!1 HI! YOO MAN!! ตามเวสแนสเลย ...ไม่เข้ากันอย่างแรง.. ส่วนนางเอกของเรื่อง ซันฉ่าย มากิโนะ และชานดี สวยใสดีจริงๆๆ (แม้ต้าเอสจะปาไปเกือบจะ 30 แล้วก็ตาม ) บทนางเอกเล่นได้ดูดีทุกคน สู้ยิบตาเลย...แต่ถ้าดูแล้วว่าจนจริงๆๆ น่าจะเป็นไต้ไหวน่ะ เพราะเกาหลีผิวพรรณดีเกินไป(แอบอิจฉา)...
โดยรวมแล้วถ้าถามว่าชอบเวอร์ชั่นไหน อันนี้ตอบยาก เพราะอาจจะมีมาอีกหลายเวอร์ชั่น แต่โดยส่วนตัวชอบแบบเกาหลีน่ะ เพราะด้วยเนื้อหากระชับไวและน้ำหนักบทค่อยข้างเท่าเทียมกัน....และที่น่าชื่นชมกับทรงผมหัวสับปะรดเนี๊ย ขนาดเจอรรี่ที่ว่าแน่ยังต้องถอยกลางเรื่อง ส่วนจุน ก็เหมือคนผมหยิกมากกว่า แต่อีมินโฮนี่สิสับปะรดตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายจริงๆๆ สุดยอดดดดดดดดดดด.........^0^

แนะนำตัว


สวัสดีค่ะ....CATEYE
เราชอบดูหนัง ซีรีย์ ทั้งในและนอกประเทศ ดูแล้วรู้สึกว่าเรื่องราวเหล่านี้สามารถมาใช้ในชีวิตประจำเราได้ เรื่องบางเรื่องก็สอนเรา ให้กำลังใจและทำให้เราเข้าใจโลกที่เราอยู่ได้อย่างลึกซึ้งขึ้น...
อยากให้เพื่อนๆมาร่วมแชร์ความรู้สึกด้วยกันน่ะค่ะ.....เพราะเราเชื่อว่า ทุกคนต้องมีอารมณ์ หนังจบแต่อารมณ์ไม่จบค่ะ
ฝากตัวด้วยน่ะค่ะ